วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มูลค่าของกฤษณา

ไม้กฤษณา เป็นพืชที่ถูกกล่าวถึงมานานแล้วในเรื่องมูลค่าราคาที่แสนแพงของแก่นไม้และน้ำมันกฤษณา



จึงทำให้มีเกษตรกรหลายท่านหันมาปลูกกฤษณาอย่างจริงจังเพื่อหวังผลในเชิงธุรกิจ ทำให้มีพ่อค้าหัวใสพากันหากล้าไม้มาขายให้กับเกษตรกรในราคาแพง จนเกิดการปั่นราคากล้าไม้กฤษณาขึ้นมา โดยการอ้างถึงสายพันธุ์ต่างๆว่าวิเศษกว่าพันธุ์อื่นๆ เพื่อขายกล้าให้ได้ราคาแพงขึ้น  ทั้งที่ความจริงแล้วในตลาดกฤษณา ไม่ว่าผลผลิตจะมาจากสายพันธุ์ใดก็ล้วนแต่ขายได้ราคาทั้งนั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของชิ้นไม้และน้ำมัน



ปัจจุบัน มีเกษตรกรหลายรายต้องการขายต้นกฤษณาที่ปลูกขึ้นมาในช่วงอายุประมาณ 6-10 ปีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปลูกมาแล้วแต่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการกระตุ้นและแปรรูปไม้กฤษณาให้เป็นสินค้าได้ บางรายไปซื้อต้นกล้ามาจากแหล่งที่ปั่นราคาขายในราคาสูงถึง 70-80 บาท และมีความเข้าใจผิดๆว่า ต้นกฤษณานั้นต้องมีมูลค่าที่สูงแม้ไม่ต้องกระตุ้นหรือมีสารกฤษณาอยู่ในต้น และต้องการขายต้นไม้ของตนในราคาต้นละหลายพันบาทหรือเป็นหมื่นก็มี  และเมื่อไม่สามารถขายสวนของตนได้ หลายท่านจึงได้ทำการตัดทำลายเผาทิ้งแล้วปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ทั้งๆที่กฤษณาแปลงนั้นๆได้ปลูกมาหลายปีแล้ว แทนที่จะตัดทิ้ง หากได้รับการกระตุ้นที่ถูกวิธีก็จะสามารถสร้างเงินได้ในระยะเวลาอีกแค่ 1-2 ปี แต่การตัดแล้วปลูกพืชชนิดอื่น ทำให้ต้องรอเวลาเก็บเกี่ยวออกไปอีก 5-7 ปี ตามประเภทของพืชนั้นๆ



มูลค่าที่แท้จริงจริงของก็คือ ต้นกฤษณานั้น หากไม่มีแก่นกฤษณาหรือน้ำมันกฤษณาในต้น ก็แทบจะหามูลค่าในเชิงพาณิชย์ไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดจากต้นกฤษณาก็คือแก่นและน้ำมัน และเนื้อไม้ก็อ่อนมากจนไม่สามารถนำเอาไปทำอะไรได้ นอกจากเป็นเชื้อไฟตั้งต้นสำหรับเผาถ่าน ส่วนใบนั้นก็มีเพียงไม่กี่รายในเมืองไทยที่นำเอาไปทำชากฤษณา

จากการสำรวจในจังหวัดที่มีการผลิตไม้และน้ำมันกฤษณาในเชิงอุตสาหกรรม พบว่า ราคาซื้อขายต้นกฤษณาเปล่าๆที่ไม่ได้กระตุ้น พบว่ามีราคาซื้อขายอยู่ในช่วง 500-800 บาทต่อต้น สำหรับต้นกฤษณาอายุประมาณ 6-8 ปี และ 800-1,000 บาทต่อต้น สำหรับต้นกฤษณาอายุ 8-10 ปี แต่สำหรับต้นกฤษณาที่มีอายุมากกว่าสิบปีขึ้นไปจะมีราคาที่สูงขึ้นจากขนาดของต้นไม้ที่โตกว่า



ในส่วนของต้นกฤษณาที่ได้รับการเจาะกระตุ้นแล้ว ที่อายุประมาณ 8-10 ปี พบว่ามีราคาซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อต้น เมื่อผ่านการกระตุ้นไปมากกว่า 1 ปี

เมื่อทราบข้อมูลเช่นนี้แล้ว เกษตรกรส่วนมากมักจะมีคำถามตามมา เช่น

ถาม  ผู้ซื้อได้อะไรจากต้นกฤษณาที่ตนซื้อมา

ตอบ  คำตอบของคำถามนี้มีอยู่สองคำตอบ

1. สำหรับต้นไม้ที่ยังไม่ได้เจาะกระตุ้น ผู้ซื้อจะต้องทำกการเจาะกระตุ้นเสียก่อนและต้องรอบ่มไว้อย่างน้อยสองปี เพื่อให้เนื้อกฤษณามีคุณภาพที่ดีเพียงพอที่จะแปรรูป นั่นก็หมายความว่า เกษตรกรที่ขายต้นไม้ให้ต้องยินยอมให้ผู้ซื้อฝากต้นไม้ไว้ในที่ดินอย่างน้อยสองปี



2. ส่วนต้นไม้ที่เจาะกระตุ้นไว้แล้ว ผู้ซื้อจะทำการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งโดยหลักๆแล้วมีอยู่สองประเภทคือ ชิ้นไม้และน้ำมัน  ในต้นกฤษณาที่ได้รับการกระตุ้นที่ถูกวิธีและมีการดูแลที่ดีจากเจ้าของ ส่วนใหญ่จะให้ชิ้นไม้กฤษณาอยู่ที่ประมาณ 2-3 กิโลกรัมสำหรับต้นอายุประมาณ 6-7 ปี แต่การกระตุ้นบางวิธีสามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 3-4 กิโลกรัมต่อต้น มูลค่าของชิ้นไม้คุณภาพดีขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ หนึ่งหมื่นบาทต่อกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย แต่หากเกรดไม้คุณภาพไม่สูงนัก ราคาก็จะถูกลงมาตามสภาพ และในกรณีที่คุณภาพไม้ไม่แก่พอที่จะทำไม้ชิ้นได้ก็จะนำมาสกัดเป็นน้ำมันกฤษณา  โดยเฉลี่ย ต้นกฤษณาอายุประมาณ 8-10 ปีจะให้น้ำมันประมาณ 8-10 โตล่าต่อต้น



แต่อย่างไรก็ตาม ในคำตอบทั้งสองข้อก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น การเจาะกระตุ้นต้นไม้นั้น ก็จะมีต้นทุนค่าจ้างทำหรืออาจจะต้องซื้อสารมาทำเอง จากการศึกษาวิธีการกระตุ้นต่างๆจากบุคลากรหลายๆท่านในวการกฤษณาเมืองไทย พบว่า ค่าจ้างทำการกระตุ้นไม้กฤษณาที่อายุประมาณ 6-10 ปี จะอยู่ที่ 600-1,500 บาทต่อต้น และจะถูกลงหากจ้างทำเป็นปริมาณมาก ซึ่งการจ้างทำนั้นจะแพงกว่าการซื้อสารไปกระตุ้นเองเพราะผู้รับจ้างจะต้องบวกเอาค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหารการกิน และค่าแรงในการจ้างลูกน้อง ไปรวมอยู่ในต้นทุนด้วย

ส่วนการซื้อสารไปกระตุ้นเองนั้นจะมีต้นทุนที่ถูกกว่า เฉลี่ยแล้วตกต้นละประมาณ 180-300 บาทเท่านั้น แต่ก็มีข้อเสียคือ หากผู้ใช้สารกระตุ้นไม่มีความเข้าใจเพียงพอก็จะทำให้ต้นไม้ผุพังเสียหายได้ เนื่องจากเมื่อก่อนนี้สารกระตุ้นส่วนใหญ่เป็นของเหลว และต้องหยอดใส่ในรูเจาะ และหากเจาะรูด้วยดอกสว่านขนาดใหญ่หรือเจาะใกล้กันเกินไป ก็จะทำให้ต้นไม้เสียหายได้



ส่วนในคำตอบข้อที่สองนั้น เกษตรกรต้องทำความเข้าใจว่า แม้จะเห็นว่าไม้กฤษณามีราคากิโลกรัมละเป็นหมื่นๆ แต่็มีค่าใช้จ่ายในการแปรรูปไม่น้อยเช่นกัน โดยแยกเป็น

1. ค่าตัดและขนย้ายต้นไม้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ต้นละประมาณ 100 บาท
2. ค่าแรงคนงานในการปอกไม้ขาวออกจากแก่นไม้ วันละ 200 บาท
3. ค่าแรงเหมาแกะหรือแทงไม้ (เหลาเอาเฉพาะเนื้อดำ) กิโลกรัมละ 1,500-2,500 บาท แล้วแต่เนื้อไม้
4. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆอีกประมาณ 500 บาทต่อต้น
5. ค่าแพ็คและขนส่งไปจำหน่าย ประมาณ 100 บาทต่อต้น



ส่วนต้นทุนของการกลั่นน้ำมันเช่น

1. ค่าแก๊ส สองถัง ถังละประมาณ 1,000 บาท กลั่น3-4 หม้อ
2. ค่าคนงานสับไม้ คนละประมาณ 200 บาทต่อวัน หรือหากเหมาก็จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 10-15 บาท
3. ค่าน้ำ-ไฟ 100 บาทต่อล็อต
4. ค่าจ้างคนเฝ้าและดูแลหม้อกลั่น วันละ 200 บาทต่อคน
5. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ประมาณ 1,000 บาท



เมื่อทราบดังนี้แล้ว ผมคิดว่าเกษตรกรคงมีความเข้าใจในเรื่องการปลูกและผลิตไม้กฤษณามากขึ้น การกำหนดมูลค่าของต้นไม้จะได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

3 ความคิดเห็น:

  1. มีที่บ้าน 1 ต้นค่ะ..ต้นใหญ่มาก. ประมาณ 15 ปีต้องการตัดออก เพราะรากดันพื้นค่ะ..ใครสนใจ ติอต่อได้ค่ะ.เรื่องราคา ไม่ซีเรียสค่ะ..มากน้อยคุยกันได้ค่ะ 089-7478170. 097-0516030

    ตอบลบ
  2. อยากขายค่ะมี3-4ต้นลองแกะมาดมดูกลิ่นเหมือนนำ้หอมมากๆน่าจะสกัดเป็นนำ้หอมได้อายุราวๆ30ปีได้ค่ะใครสนใจโทรมาคุยกันได้ค่ะ 090-2420964

    ตอบลบ
  3. มี ประมาณ 2000 กว่าต้น อายุ 30 ปี บอกขายคะ

    ตอบลบ